เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๖ ก.ย. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี ทุกคนก็ว่าทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี ศาสนานั้นก็ต้องดีจริง แต่ความจริงเห็นไหม ศาสนาสอนให้คนมีศีลธรรมมีจริยธรรม ถือผีก็สอนให้เป็นคนดี

คนถือผีถือสางเห็นไหม ให้เคารพพ่อแม่ ให้เคารพครูบาอาจารย์ นี่ถือผีถือสางเพราะศาสนาดั้งเดิมคือศาสนาผี แล้วมีพระพุทธศาสนา มีอิสลาม มีคริสต์ต่างๆ ต่อๆ กันมา ศาสนาเห็นไหม แล้วศาสนาไหนสอนถึงที่สุดแห่งทุกข์ล่ะ

ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี เราก็ว่าความดี ศาสนสัมพันธ์ ! ศาสนสัมพันธ์ๆ กับใคร แล้วสัมผัสกับสัจจะความจริง แล้วสัจจะความจริงมันเป็นความจริง แล้วสัมพันธ์กับใคร สัมพันธ์เพราะอะไร

เพราะสัมพันธ์กับอวิชชา สัมพันธ์กับกิเลส สัมพันธ์กับใจเราไง แล้วเราไม่เคยพบเคยเห็น ถ้าเราไม่เคยพบเคยเห็น พอมันว่างๆ ว่างๆ สบายๆ เราคิดว่านั่นเป็นสัจธรรม สัจธรรมอันนั้นแฝงไว้ด้วยอวิชชา คือความไม่รู้ของเรา เพราะเราไม่รู้หรอก แต่มันว่างๆ อยู่เห็นไหม

ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูด ว่างๆ ว่างๆ ความว่าง ว่างหมดเลย ว่างเป็นอนาคามีเลย แต่ถึงที่สุดพอผ่านความว่างเข้าไปแล้ว ความว่างอันนั้นจะเป็นกองขี้ควาย แล้วถ้าความว่างของเรา ความว่างด้วยอารมณ์สัญญา สัญญาอารมณ์เฉยๆ ว่างๆ ว่างๆ สบายๆ เป็นศาสนา เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถูกต้องของอวิชชา ถูกต้องของความเป็นจริงนะ มันจะมีเหตุมีผลของมัน มันหักล้างของมัน มันทำลายของมันนะ ทำลายสิ่งที่ฝังหัวใจไว้ สิ่งที่อะไรมันฝังใจ นี่อุปาทานที่มันฝังไว้ ถอนมันออกมา

ถ้าถอนมันออกมาเห็นไหม การถอน ! ถ้าไม่มีการถอน ไม่มีการกระทำ มันจะเป็นอริยสัจได้อย่างไร มันเป็นฌานโลกีย์ สิ่งนี้มันเป็นฌานโลกีย์ ดูสิ ดูคนเข้าสมาบัติ เขายังเหาะเหินเดินฟ้าได้นะ แต่เวลาไปเจอสิ่งใดที่สะกิดใจ ตกจากอากาศเลย ขณะที่เราเหาะอยู่ เวลามันออก มันไปเลย นั่นเพราะอะไร เพราะว่าตัวเองมีน้ำหนัก เป็นสิ่งที่มีน้ำหนัก แต่มันไปด้วยฤทธิ์ ไปด้วยฌาน สิ่งนั้นเป็นการกระทำใช่ไหม

แต่ในปัจจุบันความดี.. ความดีมันดีของใคร ถ้าดีอย่างนั้นดีทางโลก มันดีโดยวิชาการ ยอมรับวิทยาศาสตร์ เพราะวิทยาศาสตร์ตายตัว แต่ธรรมะนะ ธรรมะดูสิ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันต้องปรับตัวของมันขึ้นไป

มรรคหยาบ.. มรรคละเอียด มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด ! มรรคหยาบเห็นไหม ดูว่างๆ ว่างๆ เราคิดว่ามันเป็นมรรค มันเป็นความจริงของเรา มันหยาบๆ แต่เพราะเราไม่เคยเห็นใช่ไหม ว่ามันละเอียด.. ละเอียดมาก สิ่งนี้ละเอียดมาก.. สูงส่งมาก มันละเอียดมากเลย แต่เวลาเราผ่านเข้าไปนะ โอ้โฮ.. โอ้โฮ.. โอ้โฮ.. นี่ไง ผู้ที่ไม่เคยประพฤติปฏิบัติมันจะไม่มีตรงนี้ไง

ดูสิ เราไปเจอสิ่งใดที่ฝังใจ เราจะตื่นเต้นกับสิ่งนั้นมาก อะไรที่ฝังใจ โอ้โฮ..โอ้โฮ..เลยนะ แต่ไปเจอสิ่งที่ดีกว่านั้น เวลาครูบาอาจารย์ท่านว่าเห็นไหม เราแบกเหล็กมา ไปเจอเงินก็ไม่ยอมทิ้ง ไปเจอทองก็ไม่ยอมทิ้ง แบกเหล็กไปตลอดชีวิต

แต่เขาแบกเหล็กมา ไปเจอเงิน ก็ทิ้งเหล็กแล้วไปเอาเงิน.. แล้วก็ทิ้งเงินไปเอาทอง แต่ทิฐิมานะมันทิ้งไม่ได้ เรารู้มานาน เราศึกษามานาน มันทิ้งไม่ได้ ... มรรคหยาบ !

ความรู้เหมือนกัน มันหยาบ แต่เราว่าละเอียด เพราะเราไม่รู้ เราไม่เคยเห็น พอเราไม่รู้ไม่เคยเห็นใช่ไหม เรายึดของมันไป นี่ถ้ามีครูบาอาจารย์เห็นไหม เพราะมันผ่านประสบการณ์ จิตที่ไม่มีประสบการณ์ขณะที่มันเปลี่ยนแปลง เราจะไม่รู้เลยว่าวิธีการเปลี่ยนแปลงมันเป็นอย่างไร มันจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรของมัน

แล้วเปลี่ยนแปลง ขณะที่เปลี่ยนแปลง ถ้าคนไม่รู้พูดไม่ถูก พูดถึงการเปลี่ยนแปลงของมันไม่ถูก แต่พูดถึงเหมือนการตกตะกอนในน้ำ มันสงบตัวลงถูก สมาธิไง ตะกอนในแก้วน้ำ ในโอ่งน้ำ มีตะกอนอยู่ ถ้าเอาสารส้มแกว่งมันก็ลง ไม่เอาสารส้มแกว่ง ทิ้งไว้เฉยๆ ตะกอนก็ต้องนอนอยู่ก้นโอ่งนั้นโดยธรรมชาติ

กิเลสก็เหมือนกัน มันอยู่หัวใจเรานี่ แล้วมันก็ฟูขึ้นมา แล้วมันก็ยุบตัวลงไป แล้วก็ฟูขึ้นมา อยู่อย่างนั้น.. อยู่อย่างนั้น ถ้าไม่มีมรรคญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งนี้เอาออกไม่ได้

ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปศึกษากับพระอาฬารดาบสเห็นไหม “มีสมาบัติเหมือนเรา.. มีสมาบัติ ๘ เหมือนเรา เป็นอาจารย์สอนได้เลย” บอกให้สอนได้เลย แต่เจ้าชายสิทธัตถะไม่เชื่อ !

นี่ไงตะกอนที่มันอยู่ในน้ำ ที่มันฟูขึ้นมาแล้วมันสงบตัวลง มันอ่อนตัวลง เท่านั้นเอง ! เราก็ว่างๆ ว่างๆ นี่ไง ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี ถูกต้อง ! สอนให้เป็นคนดี แต่ดีในศีลธรรมจริยธรรม

สัตว์มันก็มี สัตว์มันก็มีศีลธรรมของมันนะ ดูสิมันเลี้ยงลูกของมัน มันดูแลลูกของมัน มันรักหมู่คณะของมัน นี่ฝูงสัตว์เห็นไหม มันต่อสู้กัน มันปกป้องฝูงของมันเห็นไหม มันรักกันไหม มันเป็นความสามัคคีไหม แล้วมันเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่สัตว์มนุษย์ เราเป็นสัตว์มนุษย์ ถ้าสัตว์มนุษย์เห็นไหม..

ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี ทุกวิธีการประพฤติปฏิบัตินะ ในการประพฤติปฏิบัติของเราที่ว่ากรรมฐาน.. กรรมฐาน ฐานของใคร ฐานของสัมมาสมาธิ กับฐานของอวิชชา ฐานของมิจฉา มันฐานเหมือนกัน นี่ไงกรรมฐาน กรรมฐาน.. เข้าถึงฐานให้ได้ก่อน

ถ้าเข้าถึงฐาน อะไรเข้าถึงฐาน นี่ไงคำบริกรรม พุทโธ พุทโธ พุทโธ ปัญญาอบรมสมาธินี่ เราบอกว่าสมาธิไม่สำคัญ ไม่สำคัญเพราะพวกเรามันอ่อนแอ เจ็บไข้ได้ป่วยเราทำงานไหวไหม เราทำงานไม่ได้หรอก เราต้องมาพักฟื้น มาให้ร่างกายเราสดชื่นขึ้นมา

จิตที่มันมีอวิชชาครอบงำอยู่ มันออกมาเป็นโลกียปัญญา คือปัญญาจากฐานของจิต ปัญญาโดยธรรมชาติของมัน แล้วปัญญาอย่างนั้นหรือปัญญาแก้กิเลส แต่เราไม่เคยเห็นใช่ไหม เราเคยแต่คิดสิ่งที่เพ้อเจ้อ เพ้อฝันไป

พอเรามาคิดถึงสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ! แต่ไม่ใช่สัจธรรมของเรา เราคิดถึงสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใจมันเคลิ้มในธรรมเห็นไหม ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม

เคลิ้ม.. เคลิ้ม คือศึกษาแล้วเห็น นี่จินตมยปัญญา จินตนาการไป มันก็ปล่อย มันก็ว่าง มันก็มีความสุข โอ๊ย.. ธรรมะเป็นอย่างนั้น .. เป็นอย่างนั้น

จินตมยปัญญา ปัญญาแก้กิเลสไม่ได้ สุตมยปัญญา.. จินตมยปัญญา

ภาวนามยปัญญาเท่านั้นแก้กิเลสได้ ! แล้วภาวนามยปัญญาเป็นอย่างไร อธิบายไม่เป็น ความคิดนี้ไง ความคิดมันมาจากอวิชชานะ ความคิดมาจากฐาน

นี้ไงที่มันเป็นมิจฉา.. มิจฉาสมาธิ ฐานที่เป็นมิจฉา ความคิดมันคิดผูกพัน ความคิดว่าเรารู้ แต่ถ้ามันเป็นมรรคญาณนะ มันไม่มีเรา มีเราไม่ได้ ถ้ามีเราเป็นมรรคสามัคคี มรรครวมเป็นหนึ่ง.. ไม่ใช่ ! มรรครวมเป็นมรรค มรรคญาณไม่มีเรา ไม่มีสิ่งใดไปขัดแย้งมัน มันถึงสามัคคีได้

ถ้าไม่สามัคคีดูสิ ดูอย่างเรือนว่าง ในบ้านนี้ว่างหมดเลย มึงขวางอยู่ทั้งตัว มันว่างได้อย่างไร มนุษย์อยู่ทั้งคน ยืนในห้องว่างนั้น ห้องนี้ว่างแล้วเหรอ เข้าไปในห้อง ห้องนี้ว่างหมดเลย.. ห้องนี้ว่างหมดเลย แต่เรายืนขวางอยู่ เราไม่คิดเลยว่าตัวเรายืนขวางอยู่ในห้องนะ

นี่ก็เหมือนกัน มรรครวมเป็นหนึ่ง.. เป็นหนึ่งได้อย่างไร มันเป็นหนึ่งเพราะอะไรเพราะมันมีตัวตน เพราะมันมีฐานของอวิชชาไง นี่ไงมันถึงได้เป็นมิจฉา ถ้าสมาธิมันสงบตัวลง ไม่ใช่เรา

แต่ ! แต่มีสติสัมปชัญญะรู้หมด สักแต่ว่า ! สักแต่ว่า ! รู้หมดเลย รู้หมดเลย เพราะมันไม่มีเรา ถ้ามีเราเป็นสมาธิไม่ได้นะ ที่เราทำสมาธิกันไม่ได้ เพราะไอ้เรามันขวางอยู่ เดี๋ยวมันจะเสีย เดี๋ยวมันจะบ้า ไม่มีครูบาอาจารย์จะสอน

นี่มันห่วงตัวมัน มันห่วงเรา เรานี่ขวางอยู่เลยนะ ต้องเป็นอย่างนั้น.. ต้องเป็นอย่างนั้น มันยึดเรา มันเลยเป็นสมาธิไม่ได้ ถ้ากำหนด พุทโธ พุทโธ พุทโธ เข้าไปนะ มันทิ้งหมด ทิ้งทุกๆ อย่างเลย แต่มีสติอยู่ มีสติกับผู้รู้อยู่ไป มันจะสงบเข้าไป.. สงบเข้าไปเห็นไหม

แม้แต่สมาธิมันยังไม่มีตัวตนเลย ตัวตนนั้นนะ ทิฐิมานะนั้นนะ นั่นมันขวางไม่ให้เป็นสมาธิ.. ไม่เป็นสมาธิแล้วยึดมัน ยิ่งยึดมันยิ่งลงไม่ได้ แต่ถ้ามันเป็น พุทโธ พุทโธ มันเป็นในธรรมชาติของมัน มันเป็นของมันเอง พอมันเป็นของมันเองขึ้นมานะ ไม่มีเรา มันถึงรู้ว่านี่เป็นสมาธิ ไม่มีเรา เพราะมันออกไปวิปัสสนาในกาย เวทนา จิต ธรรม

ในวิปัสสนา ใครเป็นคนวิปัสสนา ถ้าจิตมันเสื่อม มันวิปัสสนาโดยสัญญาโดยเรา ถ้ามีเราบวกปั๊บ.. นี่ไง ที่มีตัวตน ที่เคยขวางไง ถ้าไม่มีเรานะ มันจะเป็นสัจธรรม สัจธรรมไม่ใช่ธรรม ! ธรรมะ.. ธรรมผุด ! ธรรมผุด ! ธรรมที่รู้ๆ จากเรา เพราะมีฐาน ทุกอย่างมันต้องมีตัวตนขึ้นมา

แต่เวลาที่เป็นสัจธรรมไม่ใช่เรา มันจะเป็นธรรมจักรที่มันเคลื่อนไป ที่จักรมันเคลื่อนไป ที่ปัญญามันเคลื่อนไป ที่มรรคมันเคลื่อนไป.. มันเคลื่อนไป แล้วมันหมุนเข้าไปนี่ธรรมจักร ธรรมจักร ! หินแกรนิตนั้นเขาเอาไว้ให้หมาเยี่ยว หมามันจะไปขี้ไปเยี่ยวทับอยู่นั่น นั่นมันเป็นสัญลักษณ์

แต่ถ้าสัจจะความจริงที่มันหมุนในใจ มันหมุนขึ้นมาได้อย่างไร อะไรมันหมุน นี่ศาสนาไหนก็สอนให้เป็นคนดี ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี ใช่ ! เราก็เป็นคนดีทั้งหมด เพราะสิ่งที่ดีเห็นไหม เราก็สอนลูกให้เป็นคนดี เราก็สอนเพื่อนให้เป็นคนดี เราก็อยากให้สังคมเป็นคนดี ความดีเห็นไหม ความดีมันก็มีความดีของโลก เราทำมาหากินกันนี่เป็นความดีไหม เราทุกข์ยากไหม เราเดือดร้อนไหม

ดูเศรษฐีนะ เขามีสมบัติของเขา เขาเป็นทุกข์เป็นยากว่า ใครจะดูแลสมบัติของเขาต่อไป หามาแล้วก็ไปติดมันเห็นไหม

แต่ความดีของธรรม นี่น้ำบนใบบัว ! นี่ธรรมเหนือโลก ธรรมอยู่กับโลก ต้องอยู่กับเขานะ ต้องบริหารจัดการนะ สอุปาทิเสสนิพพาน แม้แต่จิตมันปล่อยหมดแล้วนะ สอุปาทิเสสนิพพาน สะคือเศษส่วน ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ ๕ ทุกอย่างยังต้องเป็นภาระ ยังต้องดูแลมัน ไม่ใช่ว่าพอมันสลัดทิ้งแล้ว มันจะหมดความรับผิดชอบไปเลย ไม่ใช่ !

สลัดกิเลสทิ้ง แต่รับผิดชอบชีวิต ! สอุปาทิเสสนิพพาน ยังมีชีวิตอยู่ ยังขับเคลื่อนอยู่ ชีวิตนี้ให้ถึงที่สุดของมันเห็นไหม ถึงที่สุดถึงกาลเวลาของมัน มันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน ไม่เร่งรีบและไม่หน่วงรั้งไว้ มันจะเป็นธรรมชาติของมัน อยู่ที่อำนาจวาสนา อยู่ที่บารมีของแต่ละบุคคลที่มันสร้างสมมา มันเป็นไปโดยสัจจะความจริงของมัน

สัจจะความจริงของมันนะ เห็นไหมสัจจะความจริง แต่ถึงที่สุดไปแล้วมันจบ พอจบไปแล้วนั่นหมดกันไป เพราะมันพ้นจากวัฏฏะ พ้นจากการสมมุติบัญญัติ พ้นจากที่หมาย มันพ้นออกไป

แต่ในปัจจุบันนี้ ใน ๙ เดือนนี้ พูดถึงว่าตัวตนเราไปขวางอยู่ มันต้องยึดไปก่อน ยึดไปก่อน ถ้าไม่ยึดไปก่อน นี่วิธีการ ! ธรรมะเป็นวิธีการทั้งหมด เป้าหมายคือธรรมะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมอยู่ที่ใจ สัจจะความจริงถ้าถึงเป้าหมายแล้ว มันจะเป็นสัจจะความจริงอันนั้น

แต่ขณะที่เราจะเข้าถึงสัจจะความจริง เราเอาอะไรเข้าไป นี่ไงมันถึงต้องมุมานะ นี่กรรมฐานเราเห็นไหม ความเพียรชอบ การกระทำชอบ ทุกอย่างชอบ แต่ถ้าการกระทำของเรา เราว่าชอบ แต่มันไม่ชอบตามมรรค

เราว่าชอบนะ เราคือใคร เราคือความเห็นแก่ตัว เราคือความยึดมั่นถือมั่น เราคือความที่ไม่ให้มันเป็นสัจจะความจริง เรานี่ เพราะทุกคนเห็นแก่ตัวหมด อย่างปกติเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว.. เห็นแก่ตัวต้องเอาตัวให้รอดก่อนใช่ไหม เราเห็นแก่ตัวต้องพยายามเอาตัวให้รอด

แต่ไม่ใช่เห็นแก่ตัวแล้วหลอกตัวเอง ถ้าเราเห็นแก่ตัวใช่ไหม เรารักตนเอง เรารักตน อะไรบ้างที่เป็นคุณสมบัติของธรรมะ อะไรบ้างที่เป็นคุณสมบัติที่เป็นมรดกตกทอดของใจ ของธรรมที่พระพุทธเจ้าวางไว้ เราพยายามทำสิ่งนั้นๆๆ ให้เป็นข้อวัตรปฏิบัติ ให้มันยึดมั่นถือมั่นถึงที่สุด

แต่ถ้าความเห็นแก่ตัวของกิเลสเห็นไหม มันอยากได้ มันอยากเป็น อ่านธรรมะแล้วกระโดดกอดไว้เลย นี่ของเรา.. นี่ของเรา.. มันไปตู่พุทธพจน์ ตู่ว่าเป็นของเราไง มันไม่ใช่ของเรา ของเรามันต้องรู้จริงมาจากใจ ความรู้จริงจากใจ อันนี้เกิดขึ้นมาเห็นไหม

ศาสนาพุทธสอนตรงนี้ไง แล้วพอศาสนาพุทธสอนก็.. ทุกข์นิยม.. ทุกข์นิยม ไม่ใช่ ! สัจนิยม.. ทุกข์เป็นความจริง การเกิดและการตายโดยธรรมชาติของมัน มันเป็นสัจจะ มันเป็นพลังงานที่มันมีจริง รู้จริง เห็นจริง ไม่ใช่ทุกข์นิยม สัจนิยม ! แต่เขาปฏิเสธกัน เขาปฏิเสธทุกข์ เขาจะหาความสุขกัน แล้วเขาก็เจอแต่ทุกข์ โดยที่เขาไม่รู้ว่านั่นเป็นทุกข์ ! นั่นคือทุกข์ !

ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์อันหยาบ ทุกข์ละเอียด ทุกข์ละเอียดนะ มันเป็นแค่ความอาลัยอาวรณ์ เป็นแค่ความรู้สึกเฉา ! เป็นแค่ความรู้สึกแบบไฟสุมขอน ! เท่านั้นเองนะ ! ทุกข์อันละเอียดมันเหมือนไฟสุมขอน เหมือนเรารู้อะไรอยู่นี่ มันเหมือนฝังใจอยู่ มันถอนไม่ได้

ไอ้ทุกข์หยาบๆ ทุกข์สิ่งที่กระทบมันหยาบมาก แล้วเราละมันได้ทั้งนั้นล่ะ ปล่อยขึ้นมา ปล่อยถึงละเอียด มันจะเป็นไฟสุมขอน สุมอยู่ในใจอย่างนั้นนะ แค่พลังงานเฉยๆ แล้วบอกทุกข์นิยม.. ทุกข์นิยม

เอ็งรู้จักทุกข์ไหม.. เอ็งเห็นทุกข์ไหม.. เอ็งปล่อยทุกข์เป็นไหม.. เอ็งไม่เคยทำอะไรเลย แล้วบอกสุข.. สุข.. สุข.. พยายามจะปฏิเสธไง ว่าทุกข์นิยม แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ไม่ใช่ !

สัจนิยมนะ นี่ศาสนาพุทธ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อริยสัจเป็นความจริง แต่พวกเราไม่เข้าถึงความจริงหนึ่ง สองพยายามปฏิเสธมัน.. ปฏิเสธมัน พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง ก็ว่างแล้ววางกัน วางแบบขี้ลอยน้ำไง ขี้มันลอยไปตามน้ำ ว่าง.. ว่าง..

ชาวพุทธมันว่างแบบขี้ลอยน้ำ เพราะว่างแบบไม่ใช้ปัญญา ไม่ได้เข้าไปรู้จริง เห็นจริง แล้วปล่อยวางตามความเป็นจริง ไปว่างกันเฉยๆ ไปว่างแล้วกดไว้นะ แล้วบอกว่างอย่างนี้สบาย ก็สบายสิ ก็ขี้ลอยน้ำ.. ไม่ได้รับผิดชอบอะไรเลย ไม่ได้ทำอะไรเลยบอกว่าง ไม่ได้ทำอะไรเลยบอกว่ารู้ มันจะรู้ได้อย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน พอเห็นครูบาอาจารย์เรานะ พอปฏิบัติ ฮู้หู.. ฮู้หู.. ทำไมอัตตกิลมถานุโยค ทำไมทรมานตน ไม่ใช่ ! ทรมานกิเลส เพราะกิเลสมันอยู่กับเรา ทรมานกิเลส พอกิเลสออกไป ตนนี้จะว่างเปล่า ตนนี้จะไม่มีกิเลส มันต้องมีตบะธรรม ต้องมีปัญญา ต้องมีตบะ ต้องมีการแผดเผา มันถึงจะเป็นความจริง ไม่ใช่เกิดโดยลอยจากฟ้ามาหรอก แค่ไปลูบๆ คลำๆ กันนะ ปฏิบัติแค่ลูบๆ คลำๆ แค่พิธีกรรมกัน แล้วพอเจอครูบาอาจารย์ที่ทำจริง ฮู้หู.. ฮู้หู..

คำว่า ฮู้หู.. มันบอกเลยว่าไอ้พวกนี้ภาวนาไม่เป็น ถ้าคนภาวนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทุ่มเทขนาดไหน ท่านทำของท่านขนาดไหน ท่านถึงได้ความจริงของท่านมา

เราเป็นลูกศิษย์เห็นไหม ชุบมือเปิบไง ถึงเวลาก็จะล้วงออกมาจากตู้ แหม ! ธรรมะ.. ธรรมะ.. ธรรมะ.. ธรรมะของใคร ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราไปกล่าวตู้ เราไปยึดมัน ทำแล้วว่างๆ สบายๆ .. สบายๆ มันเหมือนนิยายธรรมะไง

ในปัจจุบันเอาธรรมะมาตั้งเห็นไหม ถ้าในวัฏฏะก็ไปแต่งกันเป็นเรื่องเป็นราว โอ้โฮ.. นิยายธรรมะ เราไปอ่านนิยายธรรมะกัน เหมือนกับนิยายปรัมปรา มันมีส่วนนิดเดียวแล้วไปขยายความกัน แล้วเราก็ไปตื่นเต้นกัน แต่เราไม่รู้ว่าต้นขั้วมันมาจากไหน

พระในวัฏฏะอยู่ที่ไหน พระในวัฏฏะประพฤติอย่างไร อยู่ในพระไตรปิฎกอย่างไร เอามาแล้วก็เอามาแต่งนิยายธรรมะกัน แล้วเดี๋ยวนี้ศึกษากันเห็นไหม ตำรามันจะเป็นนิยายธรรมะชี้ลงนรก ! แล้วพอจะเข้าความจริงมันลำบากลำบน ไม่กล้าทำ กลัวนักกลัวหนาเห็นไหม

แล้วก็ .. ทุกข์นิยม.. ทุกข์นิยม.. สัจนิยมนะ ! พูดถึงความดี ทุกศาสนาสอนให้คนทำคุณงามความดี ทุกวิธีการที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้าเป็นมิจฉามันก็คือมิจฉา ถ้ามันเป็นสัมมามันถึงจะเข้าสู่สัจจะความจริง

แล้วถ้าเป็นสัมมา มันเข้าถึงสัจจะความจริง ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ สนทนาธรรมกันเป็นมงคลอย่างยิ่ง สนทนาธรรมที่เป็นสัจจะความจริง มันจะตรวจสอบกัน มันจะรู้จริงว่าอันใดจริงและไม่จริง

นี่ไงมงคลชีวิต มงคลในการกระทำนะ ไม่คบคนพาลจากข้างนอก ไม่คบคนพาลจากอวิชชา คนพาลจากหัวใจ คบบัณฑิตข้างนอก คบบัณฑิตคืออริยสัจ คบบัณฑิตคือสัจธรรม คบบัณฑิตคือมรรคญาณที่มันทำลายหัวใจถึงที่สุด

ศาสนาพุทธเราสอนถึงที่สุดแห่งทุกข์ ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี ใช่ ! สัตว์มันก็สอนลูกให้เป็นคนดี แต่มันไม่สามารถสอนให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ แต่พระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ของเรา สอนถึงที่สุดแห่งทุกข์ เอวัง !